Top
 
:::::: Etc. ::::::



:::::: Magic ::::::

เวทมนต์คาถาใน Dragon Quest : กล่าวถึง FF แล้ว ไม่กล่าวถึงคู่แข่งตลอดกาล เกมส์ที่ทำรายได้ถล่มทลายทุกครั้งที่จำหน่าย และ มีความนิยมไม่แพ้ FF เลย ก็กระไรอยู่ สำหรับคาถาของตระกูล DQ ก็เริ่มมีมาตั้งแต่ภาค 1 และ ครบสูตร 3 สำเร็จเช่นกัน คือมีคาถาฟื้นพลังสาย โฮมี่ โจมตีอย่าง กีร่า และ แรงสุดคือ เบกิราม่า และ มีพวก ราลิโฮสนับสนุน คาถาในภาคแรกเป็นเสมือนสิ่งพิเศษ เป็นของขวัญที่ช่วยให้เราต่อสู้ได้สะดวกขึ้นนอกจาก การโจมตีปกติธรรมดา ซึ่งภาคต่อๆมา ก็มีจำนวนคาถาเพิ่มมากขึ้น จนภาคที่ 3 ที่เรียกว่าเป็นภาคแจ้งเกิดเต็มตัวของ DQ จำนวนคาถามีเพิ่มขึ้นสูงมากๆ และ เป็นภาคแรกที่มีการแบ่งรูปแบบคาถาชัดเจนคือ “คาถาของพ่อมด” “คาถาของนักบวช” และ “คาถาของผู้กล้า”
คาถาของพ่อมดคือคาถาที่เกี่ยวกับการโจมตี จากพลังธรรมชาติทั้งหมดทั้งหลาย รวมถึงคาถาในการเกิดสภาวะผิดปกติต่างๆให้กับข้าศึกด้วย ในขณะที่คาถาของนักบวชจะเน้นการช่วยเหลือสนับสนุน ฟื้นพลัง แต่ก็มีคาถาโจมตีสายลมคือ ตระกูลบากี้ด้วย แต่ที่เด่นสุดคงคาถาสายผู้กล้า คาถาที่เฉพาะผู้กล้าเท่านั้นที่ใช้ได้ คือ ไรดีน กับ กีก้าดีน สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดตัวเป็นเอกลักษณ์ในฐานะคาถาของตัวเอกในภาคนี้ด้วย บทบาทของคาถาใน DQ เป็นที่เข้าใจหลักๆ 3 สายแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนภาคหลังๆ อย่าง ภาค 6-7 มีรูปแบบอาชีพและลุกเล่นความสามารถมากขึ้น ก็มีรูปแบบคาถาใหม่ๆ รวมถึงการโจมตีที่ใช้ MP ด้วย เพิ่มเข้ามา ทำให้โลกคาถาของ DQ เปิดกว้างยิ่งขึ้นไปอีก และ คาถาที่เป็นที่รู้จักในฐานะสุดยอดการทำลายล้างที่ใช้ MP ทั้งหมด อย่าง “มาดันเต้” ก็เกิดขึ้นมาด้วย นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการโจมตีที่ใช้ MP แรงๆอย่าง Big bang , จิโกสปาร์ค (การเล่นคำระหว่าง จิโกคุ ที่แปลว่า นรก กับ spark ภาษาอังกฤษ เป็น สายฟ้านรกแทน) และ อื่นๆ
รูปแบบคาถาของตระกูล DQ ค่อนข้างมีรูปแบบตายตัวในตระกูลนั้นๆ คือ เช่น ตระกูล เมร่า ต้องโจมตีตัวเดียว แต่ความรุนแรงสูงมากโดยเฉพาะ เมร่าโซม่า หรือ กีร่า จะเบากว่าเมร่าแต่โจมตีได้เป็นกลุ่ม ตระกูลเฮียโด้ก็โจมตีได้กว้าง โดยเฉพาะ มาเฮียโด้ ที่โจมตีได้ทั้งหมด หรือ อิโอ ที่ใช้กวาดศัตรูจำนวนมากได้ในคราเดียว ตลอดจนคาถาไรดีนสุดแรง ทำให้คาถาในแต่ละสายมีเสน่ห์ และ ความน่าใช้ในแต่ละสถานาการณ์ของมันเอง นอกจากนี้ รูปแบบชื่อคาถาที่ตระกูล DQ ใช้จะเป็นการในรูปนำคำเดิมมาต่อให้ยาวขึ้น ทำให้รู้สึกมีพลังมากขึ้น ซ้ำยังรู้สึกไหลเลื่อนในการเรียกต่อเนื่องด้วย เช่น เมร่า เมร่ามี เมร่าโซม่า กีร่า เบกิราม่า เบกิราก้อน บากี้ บากีม่า บากี้ครอส บลา บลา บลา …
ซึ่งชื่อที่ออกเสียงอย่างเป็น DQ นี่แหละ ที่ gamer โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆที่ผูกพันกับตระกูลนี้มานาน จะมีความรู้สึกพิเศษผูกพันกับชื่อเหล่านั้นที่เราได้เห็นกันตั้งแต่ครั้งกาลก่อน จนถึงปัจจุบัน มนต์ขลังของชื่อเดิมๆพวกนี้ก็ยังไม่เสื่อมคลายไป โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ถึงขนาดมีคนนำชื่อคาถา DQ ไปใช้สื่อความหมายแทนสิ่งนั้นๆทีเดียว โดยเฉพาะคำว่า “เมร่า” แทบเป็นศัพท์ใหม่ที่รู้จักแทนคำว่าไฟไปแล้วเชียว นอกจากนี้ ถ้าเราสังเกตชื่อดีๆ ชื่อเหล่านี้จะมีความหมายโดยนัยซ่อนอยู่ด้วย เช่น ตระกูลไรดีน ก็มาจาก ไร สายฟ้าของญี่ปุ่นอยู่แล้ว หรือ อาจมองในแง่ Lightning ภาษาอังกฤษ กีก้าดีน ก็แสดงหน่วยที่มากกว่าไรดีน ขณะที่ มินาดีน มินา น่าจะมาจากคำว่า มินนะ ที่แปลว่า ทุกคน ตาม concept ชื่อคือ มินาดีน สายฟ้าที่เกิดจากการรวมพลังกันของทุกคน ส่วนตระกูล เฮียโด้ ก็อาจมาจากคำว่า เฮียว น้ำแข็งของญี่ปุ่น เบกีราก้อน ก็บวกเสียงดราก้อน มังกรเข้าไป บากี้ครอส ก็ cross ภาษาอังกฤษที่หมายถึงกางเขน หรือ รอยตัดไขว้กัน ของพายุ ตระกูลบากี้ และ คาถาสนบัสนุนที่ขึ้นต้นด้วย มาโฮว อย่าง มาโฮโทร่า มาโฮตอน มาโฮคิเทะ มาโฮกันต้า อะไร คำว่ามาโฮก็แปลว่า คาถา เทียบเคียงได้กับ magic นั่นเอง ซึ่งชื่อพวกนี้ และ ทั้งหมดนี่แหละ คือเสน่ห์และรูปแบบคาถาที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยจากตระกูล DQ นั่นเองครับ

เวทมนต์คาถาใน RPG อื่นๆ : นอกจาก FF กับ DQ 2 เกมส์เด่นแล้ว ยังมี RPG อื่นๆที่มีรูปแบบของการนำเสนอเวทมนต์คาถาที่จัดว่าน่าสนใจเช่นกัน เราจะมาดูกันต่อดีกว่าครับ เริ่มด้วย อีกเกมส์ที่แนวคิดคาถาไม่เหมือนใคร คือ ชุด Saga Series ของ Square กันก่อน รูปแบบคาถาตระกูล Saga จะเป็นในแง่หนังสือตำราเวทย์ หรือ คาถาที่ให้ซื้อเพื่อเรียนรู้คาถานั้นๆ และจะมีแนวคิดของธาตุด้วย โดยไม่สามารถเรียนรู้คาถาที่ธาตุที่ขัดแย้งกันได้ คือ ดิน ขัดกับ ลม น้ำ ขัดกับ ไฟ และ แสง ขัดกับ ความมืด โดยรูปแบบการแยกคาถาตามสายธาตุก็มาจากแนวคิด element ในยุค Ancient นั่นเอง ในภาค Romancing Saga 3 ได้มีการนำแนวคิดของเทพพิทักษ์ทั้ง 4 ของทางตะวันออก คือ พยัคฆ์ขาว (ดิน) เต่าดำ (น้ำ) มังกรเขียว (ลม) วิหคแดง (ไฟ) กับ อาทิตย์ (แสง) และ จันทรา (ความมืด) มาแทนแนวคิดเดิม แล้วพอถึงยุค Saga Frontier ก็มีแนวคิดคาถาแบ่งสายใหม่ๆอีกเช่น สาย จิต มาร ทาโรต์ รูน แสง ความมืด และ เวลา กับ อากาศ หรือภาค Saga Frontier 2 ที่นำแนวคิด Anima มาใส่ในคาถา แต่พื้นฐานรูปแบบ และ กฎการขัดแย้งของคาถาสายที่ขัดกันยังคงอยู่ นอกจากนี้รูปแบบคาถาในเกมส์อื่นๆที่น่าสนใจก็ยังมีอีกมากมาย เช่น Genso Suikoden ที่นำแนวคิดคาถามาในรูป “ตรา” แล้วประทับไว้ตามหน้าผาก กับ แขน เพื่อให้สำแดงพลัง ซึ่งคาดว่ามาจากแนวคิดในการเขียนอักษรลงอาคมตามตัวของตะวันออก รวมไปถึงการลงอักษรตราเวทย์ตามยันต์ด้วย หรืออย่าง Seiken Densetsu Series ที่นำแนวคิดของคาถามาจากพลังของภูติแห่ง mana ทั้ง 8 ซึ่งก็มาจากแนวคิดของ Manaism หรือ Xenogears ที่นำเสนอแนวคิดในแง่ออกทางวิทยาศาสตร์ คือ พลังสสาร Ether กับ ลมปราณในร่างเรา หรืแม้แต่จะพูดถึงคาถาใน Star Ocean หรือ Valkyrie Profile ที่รูปแบบคาถาเป็นชื่อภาษาอังกฤษสื่อความหมายออกมาเลย และ สามารถใช้กันได้ถ้าเป็นสายจอมเวทย์ ซึ่งจะกำหนดในแง่บุคคลที่ใช้มากว่าสายคาถาตรงๆ ซึ่งหากไล่ไปให้ครบทุกเกมส์คงไม่จบเป็นแน่แท้ นอกจากนี้ทำให้เราเข้าใจได้อีกอย่างว่า ชื่อคาถาต่างๆในเกมส์ตามสูตรสำเร็จ จะมีอยู่ 2 แบบ คือ สร้างชื่อคาถาขึ้นมาใหม่เองเป็นศัพท์เฉพาะ เช่น ตระกูล DQ , Grandia , Breath of Fire , FF(ที่ดัดแปลงมาจากภาษาอังกฤษ) โดยแต่ละขั้นของคาถามักมีความเกี่ยวข้องกันในทางชื่อ เช่น เมร่า เมร่ามี เมร่าโซม่า เป็นต้น หรืออีกแบบหนึ่งคือ ใช้จากภาษาใดภาษาหนึ่ง โดยมากคือภาษาอังกฤษซึ่งแบบที่สองนี้ ชื่อจะสื่อความหมายมาตรงๆได้เลย และ ในแต่ละลำดับขั้นของคาถาจะเอกเทศ มักไม่มีความเกี่ยวข้องในแง่ชื่อกันนักเช่น คาถาใน fire ใน Star Ocean จะเป็น >> Fire Bolt , Eruption , Explosion เป็นต้น ตัวอย่างเกมส์ที่ใช้ชื่อคาถาแบบนี้ได้แก่ Star Ocean Series , Valkyrie Profile , Genso Suikoden , Ogre Series , Saga Series เป็นต้น

เราดูรูปแบบของเวทมนต์คาถาต่างๆในเกมส์มาแล้ว ผมว่าคงได้เวลาที่จะพูดถึงต้นกำเนิดแนวคิดของพลังเหนือธรรมชาตินี้แล้วนะครับ อย่างที่เคยพูดไว้ว่าคนในยุค Primitive นั้นยังไม่เข้าใจถึงสภาพธรรมชาติดีนัก จึงสร้างภาพสร้างรูปแบบแนวคิดต่างๆนาๆขึ้นมา ซึ่งแนวคิดของ Animaism ที่ผมเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ก็เช่นกันครับ และแน่นอน อีกรูปแบบความเชื่อที่ขาดไม่ได้คือ Mafic นั่นเองครับ ในสมัยนั้น Magic หรือ เวทมนต์คาถา ถูกรู้จักในแง่พลังเหนือธรรมชาติที่สามารถบันดาลให้เกิดขึ้นมาได้ (ต่างกับ anima ที่เป็นวิญญาณในธรรมชาติ) เวทมนต์คาถาจัดว่าเป็นศาสตร์ที่ลึกลับ ที่ผู้สามารถรู้ศาสตร์ลับอันนี้ สามารถใช้ควบคุมพลังอันลี้ลับได้อย่างปรารถนา ซึ่งพ่อมดหมอผีเหล่านี้แหละ ก็จัดเป็นผู้สร้างรากฐานแก่ศาสนาต่อๆมา และ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวคิดเรื่องเหนือธรรมชาติ ก็เป็นแนวคิดที่แฝงตัวอยู่ในศาสนาต่างๆด้วย เวทมนต์ในสมัยนั้นแบ่งได้หลักๆ 2 แง่คือ
1.เวทมนต์ขาว (White Magic)
2.เวทมนต์ดำ (Black Magic)
อย่างที่เราคุ้นเคยกันดีครับ ก็มีรากฐานมาจากตรงนี้ โดยมนต์ขาวจะเป็นในแง่มนต์ที่ให้หลบวกคือรักษาอาการบาดเจ็บ โรคภัยไข้เจ็บ ให้โชคลาภสิริมงคล ในขณะที่มนต์ดำจะเป็นในแง่การทำลาย การสาปแช่ง อะไรมากกว่า นอกจากนี้ รูปแบบความเชื่อและพิธีกรรมในการปฏิบัติของเวทมนต์คาถาในยุคแรกยังแบ่งได้อีกหลายประเภทเช่น
-เวทมนต์ตัวแทน (Representative Magic) รูปแบบมนต์ที่สร้างรูปแบบ “ตัวแทน” ของเป้าหมายขึ้นมาโดยเชื่อว่าสิ่งที่ทำกับตัวแทนนั้นจะให้ผลกับบุคลคนนั้นด้วย ซึ่งตรงนี้เราอาจคุ้นเคยกันดี กับพวกตอกตะปูตุ๊กตาฟางสาปแช่ง อะไรพวกนั้น ซึ่งตัวแทนนี้เขาจะเรียกว่า effigy ซึ่งแนวคิดนี้ก็ยังคงแพร่หลายไปในยุคต่อไปเช่นของอียิปต์ที่มีการนำตุ๊กตาคนรับใช้อะไรไปไว้ในพิระมิดให้รับใช้ฟาโรห์ด้วย หรือแม้แต่ของไทยเราก็มีแนวคิดเกี่ยวกับคาถาประเภทนี้เช่นกัน (ตัวอย่าง การตัดไม้ข่มนาน)
-Part-for-All Magic มนต์ประเภทนี้มาจากแนวคิดว่าการกระทำกับส่วน หรือ ชิ้นส่วนของร่างกายจะให้ผลกับคนๆนั้น เช่นการนำผมหรือเล็บอะไรของคนที่เราต้องการมาทำพิธี ให้คนนั้นชอบเรา อะไรประมาณนั้นนั่นเองครับ
-เข้าทรง (Possession) แนวคิดนี้เราก็คงคุ้นเคยกันดีเช่นกันครับ เป็นแนวคิดเวทมนต์เกี่ยวกับการนำวิญญาณมาเข้าสิงในร่างของเรา ซึ่งแนวคิดนี้ ยังคงมีมาถึงปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่ไทยเรา แนวคิดความเชื่อการเช้าทรงนี้ก็ยังคงอยู่ และ การ junction ของ FF8 ที่ให้ G.F. มาอยู่ในที่ว่างในสมองเรา หรือ การที่ Ultimecia มา junction กับ Rinoa ก็จัดได้ว่าเป้นแนวคิดของ possession การเข้าทรงเช่นกัน จากการนำสภาพทาง astral มาใส่ในรูปแบบทาง physical นั่นเองครับ
-เครื่องราง ของขลัง (Fetishism) แนวคิดนี้ก็เช่นกันครับ ยังมีมาถึงปัจจุบัน กับแนวคิดเรื่องของขลัง วัตถุมงคลที่บันดาลโชคลาภที่กล่าวได้ว่ามีกันทุกชาติก็ว่าได้ แนวคิดนี้เชื่อว่า วัตถุพวกนั้นเป็นสื่อในการนำพลังเหนือธรรมชาติ หรือเป็นเสมือนแม่เหล็กที่จะดึงดูดโชคลาภพลังอะไรมาให้แก่ผู้ครอบครองมัน แนวคิดนี้พบได้ทั่วไปในเกมส์ต่างๆ พวกไอเท็มอะไรที่ให้ผลพลังเวทย์พิเศษต่างๆ โดยเฉพาะพวก accessary เป็นหลัก
-Shamanism แนวคิดเรื่อง shaman นี้เราก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แนวคิดนี้เรียกผู้มีพลังพิเศษในการติดต่อกับวิญญาณหรือมีพลังพิเศษที่ได้มาจากธรรมชาติว่า shaman โดยผู้ที่เป็น shaman สามารถใช้พลังดังกล่าวนั้นได้ เช่น รักษาโรคภัยไข้เจ็บเพียงสัมผัสเป็นต้น

นอกจากรูปแบบหลักๆคือมนต์ขาวดำ และ รูปแบบการลงอาคมหลักๆตามที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ยังมีความเชื่อทางคาถาอื่นๆอีกเช่น แนวคิดเรื่อง mana (พบได้ในเกมส์ Seikendensetsu) แนวคิดเกี่ยวกับ Totem และ อื่นๆซึ่งทั้งหมดนี้คือแนวคิดเรื่องคาถาและพลังเหนือธรรมชาติในยุคแรก ซึ่งพัฒนาเป็นรูปแบบอื่นๆอีกในยุคต่อมา เช่น คาถาจากรูปแบบอักษร rune , รูปแบบการทำนาย , รูปแบบการลงคาถาอาคมตามวัตถุ ตามตัว และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้แหละ ก็คือ เวทมนต์ คาถาอาคม เสน่ห์อันน่าเย้ายวนที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของมนุษย์ทุกยุคสมัยอย่างไม่เสื่อมคลาย

ที่มา : http://www.gconsole.com

<--<-- Page 2 <--<-- :::::: Back to Etc. Page ::::::