ต่อไป เรามาดู มาวิเคราะห์กันดีกว่าครับ ว่ารูปแบบของเวทมนต์ คาถาในแต่ละเกมส์นั้น มีหลักแนวคิด หรือ รูปแบบอย่างไรในการใช้ และ นำเสนอ โดยผมจะยกมาแต่เกมส์ที่เด่นๆและน่าสนใจละกันครับ เวทมนต์คาถาใน Final Fantasy : ก่อนอื่นถ้าไม่พูดถึงเกมส์ดังตลอดกาลอย่าง FF ก็กระไรอยู่ คาถาใน FF series มีบทบาทตั้งแต่ภาคแรก โดยรูปแบบหลักๆพื้นฐานก็เริ่มจากมนต์ขาวและดำ โดยเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบนักเวทย์ขาวที่ใส่ชุดมี hood กับนักเวทย์ดำหมวกฟาง ตากลมๆเหลืองๆที่เราคุ้นเคยกันดี รูปแบบดังกล่าวมีไปเรื่อยๆจนมีรูปแบบมนต์ใหม่ๆ อย่างมนต์เรียก เรียกสัตว์มายา หรือ สัตว์หมายเรียกออกมา ซึ่งนับว่ายังเป็นแนวคิดค่อนข้างใหม่อยู่ในยุคนั้น และสืบทอดพัฒนาจนมีรูปแบบมนต์อื่นๆอย่าง มนต์น้ำเงิน มนต์เวลา และ นักเวทย์ประจำสายนั้นๆเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว ที่เด่นชัดมากในภาค 5 ที่ใช้ระบบ job และ มีรูปแบบมนต์และนักเวทย์ประจำสีมนต์นั้นมากมาย จนภาค 6 มาแนวคิดที่ว่าเฉพาะนักเวทย์สายนั้นๆถึงใช้เวทย์ตระกูลนั้นได้ก็เปลี่ยนไป ในยุคที่มนตราสาปสูญไป เหลือเฉพาะบางคนที่มีสายเลือดผู้วิเศษที่ใช้มนตราได้ แต่กระนั้นก็ดีคนธรรมดาๆอื่นๆก็สามารถ learn มนต์คาถาได้จากการสวมใส่ศิลามาร learn มนต์ได้จากสัตว์มายาในศิลานั้นๆ เช่นเดียวกับภาค 7 ที่คาถาสามารถเรียนรู้จากการสวมใส่ materia และ ภาค 8 ที่ ใช้ concept ในการ draw รูปแบบพลังเวทย์จากสื่อต่างๆทั้งจากธรรมชาติ และ สิ่งมีชีวิตมา ซึ่งรูปแบบการแยกตระกูลเวทย์ได้หายไป จนกลับมาอีกทีในภาค 9 กับแนวคิดเดิมที่ว่าเฉพาะนักเวทย์สายนั้นๆถึงใช้เวทย์ตระกูลนั้นๆได้ ส่วนภาค 10 ก็ยังแยกเวทย์ไปใหญ่ๆเช่นเดิม แต่ลักษณะเวทย์ที่ใช้ได้จะเป็นในแง่ใช้ได้ตามคุณลักษณะบุคคลนั้นมากกว่า นอกจากนี้ FFT ก็เป็นอีกภาคนึงที่เอาแนวคิดเดิมๆของเวทมนต์ใน FF มา เหมือนการสืบทอดจากภาค 5 โดยมีการเสริมเวทย์ตระกูลหยิน หยาง ของ ออนเมียวจิ เข้าไปด้วย มาถึงตรงนี้ เราพอสรุปรูปแบบตระกูลเวทย์ของ FF ได้ทั่งหมดดังนี้ 1.เวทมนต์ขาว (White Magic , ชิโร่มาโฮว) : รูปแบบหลักๆของ FF มนต์เกี่ยวกับการฟื้นฟูพลัง อย่าง ตระกูล เคอัล แก้ไขสภาวะผิดปกติทั้งหลาย อย่างพวก เอสน่า รวมถึงการสนับสนุนการต่อสู้ต่างๆอย่าง โพรเทส ที่เพิ่มพลังป้องกัน กับ เชล ที่เพิ่มพลังป้องกันเวทย์และอื่นๆ ผู้ใช้เวทย์สายนี้จะเรียกว่านักเวทย์ขาว (white mage , ชิโรมาโดวชิ) ซึ่งชิโรมาโดวชิ หรือ นักเวทย์ขาวนี้ ถูกตัดเสียงอ่านเหลือแค่ Shiroma (ชิโรม่า) ใช้แทนเป็นตัวละครในเวทย์ขาว ใน chocobo series อีกด้วย ซึ่งเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนักเวทย์ขาวใน FF series คือต้องชุดขาว มี hood คลุม และ มีลายสามเหลี่ยมติดๆกันสีแดงๆ ตามปลายผ้า และ อาวุธมักเป็นพวกไม้เท้า หรือ พวก morning star , mace อะไร โดยปกติเวทย์ขาวไม่มีเวทย์ที่ใช้ในการต่อสู้ ถ้าไม่นับ เดีย ในภาค 1 ที่ไว้จัดการ undeath เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่โจมตีเพียง 1 ของเวทย์ขาวก็มีเพียงคาถา Holy ที่มักออกมาในรูปแบบแสงและลูกสีขาว อม ฟ้า เท่านั้น 2.เวทมนต์ดำ (Black Magic , คุโร่มาโฮว) : มีขาวย่อมมีดำเป็นของคู่กัน เวทย์ดำใน FF series ก็เน้นคาถาโจมตีทั้งหลายจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ พื้นฐานหลักๆ 3 สายคือ ตระกูล Fire , Blizzard และ Thunder เลื่อนขั้นเป็น ร่า ก้า และ จ้า บางภาค นอกจากนี้บางภาคอาจใส่ลม คือ aero หรือ น้ำคือ water มาในตระกูลนี้ด้วย เวทย์ดำหลัๆกก็ใช้โจมตีและทำลาย แต่ก็มีการรวมของพวกคำสาปและทำให้เกิดสภาวะผิดปกติต่างๆเช่นพวก Toad , Porky , Bio , Break , Death อะไรด้วย คาถาที่เด่นสุดมานักต่อนักในหลายภาคแล้วคือ Flare คาถาสุดยอดการทำลายที่มีเป้าหมายเพียง 1 แต่มีความรุนแรงสูงมากเป็นเหมือนคู่กัดของ Holy ในมนต์ขาว อนึ่ง FF series บางภาค คาถาสุดยอดไม่ใช่ Flare แต่อาจเป็น Ultima Melton หรือ Jihad ตามภาคนั้นๆ แต่หลักๆ Flare จะขาดไปจาก series ไม่ได้ ส่วนผู้ใช้เวทย์ดำเราจะเรียกว่า นักเวทย์ดำ (black mage , คุโร่มาโดวชิ) โดยมีเอกลักษณ์ที่ชุดสีน้ำเงิน หมวกฟางเหลืองๆ ปิดหน้า ซ่อนเร้น และ มีแต่ดวงตาสีเหลืองออกมา ที่เป็นเอกลักษณ์ของนักเวทย์ดำ จนมาเป็น Vivi ในภาค 9 3.มนต์เรียก (Summon Magic , โชวคัง) : ปรากฏครั้งแรกในภาค 3 เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่กับการเรียกสัตว์มายาออกมาช่วยในการต่อสู้ โดย concept ของสัตว์มายา (เก็นจูว) ค่อนข้างเด่นมากในภาค 4 ที่ถึงกับมีโลกมายา (เก็นจูวไค) ที่อาศัยของสัตว์มายาใต้ภิภพ เช่น เดียวกับภาค 6 ที่ concept อยู่กับสัตว์มายา ในขณะที่ภาค 9 สัตว์มายาจะถูกผนึกในรูปอัญมณีให้นักเรียกปลดผนึกออกมาใช้งาน สำหรับภาค 10 ก็ค่อนข้างเด่น กับแนวคิด สัตว์หมายเรียก (โชวคังจู) ที่มาจากการภาวนาของผู้ภาวนา (อิโนริโกะ) นั่นเอง แต่หลักๆแล้ว สัตว์มายาคือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแดนมายา และ จะทำสัญญากับผู้ที่พวกมันยอมรับ (คำอธิบายว่าทำไมเราต้องสู้กับสัตว์มายาก่อนได้มาในบางภาค) เพื่อที่จะให้ยืมพลังในการโค่นอริให้พินาศไป ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว สัตว์มายาจะไม่คำนึงถึงถูกผิด หากแต่เคารพต่อคำสั่งของผู้เรียกพวกมันเท่านั้น (ตัวอย่างกรณี Bahamut FF9) และ สัตว์มายาใน FF ล้วนมีที่มาจากตำนานชาติต่างๆโดยรวมด้วยกันทั้งสิ้น สัตว์มายาที่เราคุ้นเคยกันดีคงมี Shiva กับ Ifrit ที่มักอยู่ประจำ FF series และ ราชาแห่งมังกร เทพแห่งสัตว์มายาใน FF4 (เก็นจูวชิน) Bahamut อีกหนึ่งสัตว์มายาที่ขาดไม่ได้ใน FF series โดยมักอยู่ในฐานะตัวรองสุดยอด เพื่อให้สัตว์มายาสุดยอดได้สื่อ concept ของภาคนั้นๆ สำหรับผู้ที่เรียกหรืออัญเชิญเราจะเรียกว่า นักเรียก/นักอัญเชิญ (Summoner , โชวคัง) โดยปกติ สีพื้นฐานของนักเรียกมักเป็นสีเขียว ชุดจะออกสีเขียวๆ แล้วจะมีเขาแบบ Unicorn กลางหน้าผาก เหมือนดั่งสื่อเสาอากาศไว้ติดต่อกับโลกวิญญาณ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือเวลาเราอัญเชิญสัตว์มายามาในแต่ละภาค มักมีเอกลักษณ์ตรงลูกกลมๆแล้วมีไฟข้างในหมุนออกมา หรือ ปรากฏออกมา โดยที่ภาค 7 เป็นอักษร rune ขณะที่ภาค 10 เป็นแผนภูมิทางจักราตามลวดลายต่างๆเวลาอัญเชิญออกมา ซึ่งก็เป็นเหมือนสื่อทางพิธีกรรมเวลาติดต่อกับวิญญาณด้วย ซึ่งเช่นเดียวกับมนต์ตระกูลอื่นๆ ตั้งแต่ภาค 3 มา มนต์เรียกก็เป็นอีกตระกูลที่ขาดไม่ได้ใน FF series รวมถึง effect อันน่าตระกาลตาที่เราคาดหวังจากมนต์ตระกูลนี้ด้วย ทั่วไปอาวุธของพ่อมดคือ คฑา (rod) 4.มนต์เวลา และ อากาศ (Time Magic , โทคิมาโฮว) : มนต์ตระกูลนี้ไม่ค่อยเด่นมากนัก ส่วนมากจะแทรกในตระกูลขาวและดำมากกว่า จนมีบางภาคเช่น ภาค 5 และ ภาค FFT อะไรที่แยกตัวออกมาอย่างสมบูรณ์ มนต์เวลารู้จักในแง่มนต์ที่ support การต่อสู้มากกว่า แต่กระนั้นก็ดีทั้งหมดล้วนน่าหลงไหล อย่าง Haste ที่เพิ่มความเร็วเรา Slow ที่ลดความเร็วข้าศึก หรือ Stop ที่หยุดการเคลื่อนไหวคู่ต่อสู้เลย ตั้งแต่ภาค 4 ที่มีการนำระบบ ATB (Active Time Battle) มาใช้ เสน่ห์ของมนต์เวลาก็เด่นชัดมากขึ้น จากการเห็นผลได้ชัดของเวลาใน real time battle นั่นเอง แม้แต่ภาค 10 ที่ใช้ระบบ CTB (Count Turn Battle) หรือ FFT ที่ใช้ระบบ CT (Charge Time) มนต์เวลาก็สามารถให้ผลที่เด่นชัดและน่าหลงไหลอย่างไม่เสื่อมคลาย นอกจากนี้ มนต์เกี่ยวกับ สภาพมิติ (space) ก็ถูกรวมในสายนี้ด้วย อย่างที่เราเรียกว่า เวลา และ อากาศ (space and time) ดังนั้นมนต์ที่เกี่ยวกับการข้ามมิติ ส่งข้ามมิติอย่าง Telepo (Teleport) หรือ Detion (X-Zone ในภาษาอังกฤษ) หรือ มนต์เกี่ยวกับแรงดึงดูดอย่าง Levitate ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย แม้จะเด่นด้าน support แต่ก็มีมนต์ที่สร้างความเสียหายเช่นกัน อย่างตระกูลแรงดึงดูดอย่าง Gravide (Gravity บางภาคในภาษาอังกฤษเรียก Demi) ที่สร้างแรงดึงดูดลด HP เป้าหมายลงครึ่งหนึ่งหรือ Graviga กับ Gravija ขั้นสูงของตระกูลนี้ ก็สามารถช่วยให้เราพิชิตศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว ด้วยผลของการหารของค่าพลังสูงสุด (Diabolos หรือ Atmos ก็ใช้หลักเดียวกันในการโจมตี) หรือ คาถาโจมตีโดยตรงตระกูลดวงดาวอย่าง Comet , Cometeor หรือ สุดยอดคาถาอุกาบาตอย่าง Meteor ก็นับรวมอยู่ในสายนี้ด้วยในบางภาค ผู้ที่ใช้เวทย์สายนี้เราเรียกว่า นักเวทย์กาลเวลา (Time Mage , โทคิมาโดวชิ) โดยมักแต่งกายด้วยชุดสีม่วง แบบนักปราชญ์ มีหมวกสามเหลี่ยมสูง และ มักมีดาวประดับด้วย ตามหมวกและชุด 5.มนต์น้ำเงิน (Blue Magic , อาโอวมาโฮว) : พึ่งมีบทบาทครั้งแรกในภาค 5 กับสีเวทย์ใหม่ที่น่าหลงไหล จากการ learn ความสามารถของ monster ที่เราเรียกว่า Learning จุดเด่นของมนต์น้ำเงินนี้อยู่ที่ความหลากหลาย ที่มีทั้ง ฟื้นฟูอย่าง White Wind สนับสนุนอย่างพวก Mighty Guard หรือโจมตี ที่มีอยู่มากมาย แถมยังเด่นในแง่ประสิทธิภาพที่สูงกว่าของมนต์ขาวและดำ ความหลากหลาย และทั่วไป มนต์น้ำเงินจะใช้ reflect สะท้อนไม่ได้อีกด้วย รูปแบบของมนต์น้ำเงินนั้นค่อนข้างน่าสนใจ มนต์ที่อยู่กับตระกูลนี้แต่แรกคือสายลมอย่าง Aero ที่ย้ายไปเป็นมนต์ดำในบางภาค ที่เด่นอีกอย่างของมนต์น้ำเงินอยู่ที่ลูกเล่นต่างๆที่เราไม่สามารถหาได้จากมนต์สายอื่น เช่น มนต์ LV เช่น LV X Death , LV X Flare , LV X bla bla bla ที่ให้ผลให้เป้าหมายที่มี LV หารด้วยตัวเลขนั้นๆลงตัวโดนผลของคาถาอย่างไม่มีการผิดพลาด จัดเป็นแนวคิดที่ใหม่มากๆ และ ยังนำแนวคิดนี้ไปใช้กับนักคำนวนใน FFT อีกด้วย มนต์อื่นๆที่มีแนวคิดแปลกๆอีกคือพวกที่ให้ผลในการลบผลต่างของ HPMAX ลบกับ HP ที่เหลืออยู่ของเป้าหมาย โดยทั่วไปมนต์นี้จะใช้ชื่อว่า ???? ลูกเล่นอื่นที่น่าสนใจและค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของมนต์น้ำเงินคือ รูเล็ตแห่งความตาย (ชิโนะรูเล็ต) ที่หยุดหมุนที่ใครคนนั้นตาย กับ ประกาศแห่งความตาย (ชิโนะเซ็นโคคุ) ที่ให้เลขอยู่บนหัวเป้าหมายและนับถอยหลังเรียกหายมฑูตที่เราคุ้นเคยกันดี และ มีประโยชน์ในการใช้งานเวลาจัดการศัตรูอึดๆถ่วงเวลาไว้ก็พอ รูปแบบมนต์น้ำเงิน ทั่วไปจดจำจากการเห็นท่าหรือโดนโจมตีจังๆด้วยท่าพิเศษของศัตรูแล้วจึง learning จำมาใช้ได้ จนภาค 8 ที่เรียนรู้จาก item แทน ภาค 9 ที่เรียนรู้จากการกิน ภาค 10 ที่เรียนรู้จากการใช้ ดาบมังกร (ริวเค็น) ของ คิมาริ ดูดมา ภาค 7 จะเรียกมนต์น้ำเงินว่า ท่าอริ (เทคิโนะวาสะ) ขณะที่ภาค 8 รูปแบบมนต์น้ำเงินถูก powerup ขึ้นผ่าน Quistis ที่ทำให้ผลของมนต์น้ำเงินรุนแรงและเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะ Shock Wave Pulsar ที่แสนรุนแรง เช่นเดียวกับภาค 10 ที่ให้จุดเด่นของมนต์น้ำงเงินในแง่ท้าไม้ตายที่รุนแรง ส่วนมนต์น้ำเงินในภาค 9 จะใช้ได้ง่ายกว่า และ มีประโยชน์ในแง่การ support สนับสนุน แต่ก็มีมนต์โจมตีแรงๆอย่าง กบตก ที่ให้ความแรงตามจำนวนกบที่จับได้ด้วย อนึ่ง มนต์น้ำเงินไม่มีใน FFT ผู้ใช้มนต์ตระกูลนี้เราก็เรียกว่า นักเวทย์น้ำเงิน (Blue Mage , อาโอมาโดวชิ) โดยภาพลักษณ์แรกที่ปรากฏในภาค 5 คือ พ่อมดผู้แต่งกายสีน้ำเงิน เกราะแบบนักรบ ใส่ผ้าคลุม และคาดแว่นสีน้ำเงิน แต่รูปแบบนั้นก็ไม่ตายตัว เช่นภาค 6 ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง หรือ Quistis กับ Quina ที่ชุดออกสีส้ม จึงไม่ค่อยมีรูปแบบตายตัวของนักเวทย์น้ำเงินนัก และ มักเป็นที่เข้าใจว่า นักเวทย์น้ำเงินมักมีพลังกายพอใช้ได้ คือ พอใช้ต่อสู้ด้วยกำลังกายไดด้วย ที่ต่างจากนักเวทยือื่นๆที่มักจะมีพลังกายต่ำ 6.ดาบเวทมนต์ (Magic Sword , มาโฮวเคน) : เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของคาถา ทีผสานกับการโจมตีด้วยอาวุธดาบ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่ รูปแบบของดาบเวทมนต์นี้มีในภาค 5 โดยหลักๆคือใช้การผสานระหว่างมนต์ดำ กับ มนต์ขาวลงบนดาบ แต่เน้นหนักคือมนต์ดำ คือ พวกดาบเวทมนต์ที่ให้ผลในพลังของธาตุต่างๆลงไปในดาบนั้นด้วย ซึ่งยิ่งใช้กับ monster ที่แพ้ต่อธาตุนั้นๆแล้วยิ่งสร้างความเสียหายเป็นทวีคูณ โดยสำหรับขั้นสุดท้ายคือขั้น ก้า นั้น หากเป็น monster ที่แพ้ต่อธาตุนั้นๆสามารถะชิตได้ในครั้งเดียวทีเดียว ส่วนดาบเวทย์ Flare จะให้ผลในการเพิ่มพลังโจมตีของดาบขึ้นอีก 1.5 เท่า ซึ่งนับว่ามีประโยชน์และใช้ได้ดีทีเดียว นอกจากนี้รูปแบบอื่นๆของดาบมนต์ดำนอกจากเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีแล้ว ยังมีให้ผลในการเสริมสภาวะผิดปกติลงไปในดาบด้วย เช่น ดาบไซเลส ดาบเบรค และ อื่นๆ ที่ให้ผลสภาวะผิดปกติแบบคาถานั้นๆ แต่มีจุดเด่นที่ยังให้ความเสียหาย และ ยังไม่พลาดด้วยถ้าเกิดฟันโดน คือ เท่ากับโดนผลของคาถาแน่นอน รูปแบบของดาบเวทย์นี้นอกจากจะใช้กับดาบได้แล้ว ยังใช้กับมีดบางชนิดได้ด้วย หลักๆคือใส่เวทย์ลงไปในดาบ เสีย MP ครั้งเดียวแล้วผลนั้นอยู่ตลอดจนจบการต่อสู้ ผู้ที่ใช้ดาบเวทมนต์เรียกว่า นักดาบเวทมนต์ (Magic Swordman / Fencer / Knight หรือ Warlock และยังมีชื่ออื่นๆที่ให้ความหมายถึงนักรบที่ใช้ทั้งดาบทั้งเวทย์ด้วย ส่วนของภาษา Jap เรียก มาโฮวเค็นชิ) รูปแบบของการผสานเวทมนต์ลงในดาบยังมีสืบทอดมาต่อในภาคต่างๆในรูปแบบต่างๆเช่น materia โซคุเซ ใน FF 7 ที่ให้ผลผสาน ธาตุ ลงในอาวุธ ภาค 8 ที่สามารถ Junction เวทย์ธาตุนั้นๆในการโจมตี ภาค 9 ที่อาวุธบางชนิดมีผลของเวทย์และธาตุในการโจมตี เช่นเดียวกับภาค FFT และ ภาค 10 จากการปรับแต่งอาวุธ นั่นเองครับ 7.มนต์แดง? ผลรวมของมนต์ขาวและดำ (White&Black Magic , ชิโรคุโรมา ) : มนต์แดงไม่เชิงเป็นมนต์ใหม่แต่อย่างไร แต่เป็นผลรวมของการผสมระหว่างมนต์ขาวและดำ คือทั้งโจมตีและป้องกัน มารวมไว้ในตัวละครเดียว โดยคำสั่งของมนต์ขาวและดำนี้มารวมในคำสั่งเดียว คือมนต์ขาวดำ สามารถใช้ได้ทั้ง 2 สายแต่กระนั้นก็ดีก็ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดหรือใช้ได้หมดทุกสาย ผู้ที่ใช้คาถามนต์แดงนี้จะถูกเรียกว่านักเวทย์แดง (Red Mage , อาคามาโดวชิ) ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เป็นการรวม concept ของ 3 อาชีพ คือ นักรบ นักเวทย์ขาว และ นักเวทย์ดำ ซึ่งคำที่ใช้เรียกอาชีพนี้มักจะเรียกว่า All Mighty คือ ใช้ได้ดีทุกสถานการณ์ สามารถใช้อาวุธพวกดาบ โจมตีได้แรงใช้ได้ในการต่อสู้แบบนักรบ สามารถโจมตีด้วยคาถาแบบนักเวทย์ดำ และ ยังสามารถใช้คาถาฟื้นพลังได้อีกด้วย ability ที่เด่นมากๆของอาชีพนี้คือ เร็นโซคุมาโฮว หรือ เวทมนต์ต่อเนื่อง 2 ครั้งซ้อนนั่นเอง แม้นักเวทยืแดงจะเป็นอาชีพที่น่าหลงไหล แต่ก็มีข้อเสียที่เด่นมากเช่นกัน คือ อันดับแรก ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ซะอย่าง คือ แม้โจมตีแรงกว่านักเวทย์ทั่วไป แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับพวกนักรบได้ และ เวทย์ขาวและดำ ก็ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด อย่างในภาค 5 สามารถใช้ได้ถึงแค่ LV.3 ของทั้ง 2 สายเท่านั้นเอง จุดอ่อนอีกอย่างคือพัฒนาได้ช้า ต้องใช้เวลาในการเอาใจใส่มากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับนักเวทย์อื่นๆ เช่น ภาค 5 ที่ต้องใช้ ability ถึง 999 ในการ master หรือ ภาค 11 ที่ LV up ได้ช้ากว่าอาชีพอื่น รูปแบบเด่นๆของนักเวทย์ดำที่มีมาตั้งแต่ ภาค 1 คือแต่งด้วยชุดสีแดงตามชื่อ มีผ้าคลุม และ ใส่หมวกติดขนนกที่หมวก ซึ่งดูไปแล้ว เหมือนกับพวกนักวีเร่ร่อนเสียมากกว่า -สรุปแนวคิดของคาถาใน FF series : คาถาใน FF series พื้นฐานชื่อคาถามาจากการดัดแปลงภาษาอังกฤษ โดยรูปแบบพยายามนำความหมายของศัพท์ภาษาอังกฤษมาเขียนเป็นตัวอักษรและกร่อนรูปให้เหลือ 4 ตัวอักษรในญี่ปุ่น เช่น Fire ก็มาจากคำว่า Fire ภาษาอังกฤษ ส่วนขั้น 2 จะใส่ ร่า เข้าไป แล้วตัดเสียง เอ้อ จากขีดออกเป็น Fira ส่วนขั้นสุดท้ายเปลี่ยนเสียง ร่า เป็น ก้า คือ Figa โดยพยายามคงรูป 4 อักษรของญี่ปุ่นไว้ สำหรับคำที่ชื่อยาวมากกว่าการจะลงใน 4 ตัวอักษรมักถูกกร่อนเสียง ไม่ก็ตัดตัวที่เกินออกเช่นคาถา กราวิเด ของมนต์เวลา มาจากคำว่า Gravity แรงดึงดูดเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ กุ ระ วิ เทะ อิ 5ตัว ซึ่งเกินมาเลยตัดเหลือแค่ กุ ระ วิ เทะ แล้วเปลี่ยนเสียง เทะ เป็น เดะ หรือ เด จนออกมาเป็น กราวิเด Gravide 4 ตัวนั่นเอง ซึ่งเป็นรูปแบบ 4 อักษรของมนต์ขาว ดำ เวลา ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของ FF Series แต่อดีตถึงปัจจุบัน (มนต์อย่างมนต์เรียก หรือ มนต์น้ำเงิน อยู่นอกกรณีนั้นด้วยว่ากฎ 4 ตัวอักษรสื่อความหมายชื่อได้ไม่พอ)
ต่อไป เรามาดู มาวิเคราะห์กันดีกว่าครับ ว่ารูปแบบของเวทมนต์ คาถาในแต่ละเกมส์นั้น มีหลักแนวคิด หรือ รูปแบบอย่างไรในการใช้ และ นำเสนอ โดยผมจะยกมาแต่เกมส์ที่เด่นๆและน่าสนใจละกันครับ
เวทมนต์คาถาใน Final Fantasy : ก่อนอื่นถ้าไม่พูดถึงเกมส์ดังตลอดกาลอย่าง FF ก็กระไรอยู่ คาถาใน FF series มีบทบาทตั้งแต่ภาคแรก โดยรูปแบบหลักๆพื้นฐานก็เริ่มจากมนต์ขาวและดำ โดยเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบนักเวทย์ขาวที่ใส่ชุดมี hood กับนักเวทย์ดำหมวกฟาง ตากลมๆเหลืองๆที่เราคุ้นเคยกันดี รูปแบบดังกล่าวมีไปเรื่อยๆจนมีรูปแบบมนต์ใหม่ๆ อย่างมนต์เรียก เรียกสัตว์มายา หรือ สัตว์หมายเรียกออกมา ซึ่งนับว่ายังเป็นแนวคิดค่อนข้างใหม่อยู่ในยุคนั้น และสืบทอดพัฒนาจนมีรูปแบบมนต์อื่นๆอย่าง มนต์น้ำเงิน มนต์เวลา และ นักเวทย์ประจำสายนั้นๆเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว ที่เด่นชัดมากในภาค 5 ที่ใช้ระบบ job และ มีรูปแบบมนต์และนักเวทย์ประจำสีมนต์นั้นมากมาย จนภาค 6 มาแนวคิดที่ว่าเฉพาะนักเวทย์สายนั้นๆถึงใช้เวทย์ตระกูลนั้นได้ก็เปลี่ยนไป ในยุคที่มนตราสาปสูญไป เหลือเฉพาะบางคนที่มีสายเลือดผู้วิเศษที่ใช้มนตราได้ แต่กระนั้นก็ดีคนธรรมดาๆอื่นๆก็สามารถ learn มนต์คาถาได้จากการสวมใส่ศิลามาร learn มนต์ได้จากสัตว์มายาในศิลานั้นๆ เช่นเดียวกับภาค 7 ที่คาถาสามารถเรียนรู้จากการสวมใส่ materia และ ภาค 8 ที่ ใช้ concept ในการ draw รูปแบบพลังเวทย์จากสื่อต่างๆทั้งจากธรรมชาติ และ สิ่งมีชีวิตมา ซึ่งรูปแบบการแยกตระกูลเวทย์ได้หายไป จนกลับมาอีกทีในภาค 9 กับแนวคิดเดิมที่ว่าเฉพาะนักเวทย์สายนั้นๆถึงใช้เวทย์ตระกูลนั้นๆได้ ส่วนภาค 10 ก็ยังแยกเวทย์ไปใหญ่ๆเช่นเดิม แต่ลักษณะเวทย์ที่ใช้ได้จะเป็นในแง่ใช้ได้ตามคุณลักษณะบุคคลนั้นมากกว่า นอกจากนี้ FFT ก็เป็นอีกภาคนึงที่เอาแนวคิดเดิมๆของเวทมนต์ใน FF มา เหมือนการสืบทอดจากภาค 5 โดยมีการเสริมเวทย์ตระกูลหยิน หยาง ของ ออนเมียวจิ เข้าไปด้วย มาถึงตรงนี้ เราพอสรุปรูปแบบตระกูลเวทย์ของ FF ได้ทั่งหมดดังนี้ 1.เวทมนต์ขาว (White Magic , ชิโร่มาโฮว) : รูปแบบหลักๆของ FF มนต์เกี่ยวกับการฟื้นฟูพลัง อย่าง ตระกูล เคอัล แก้ไขสภาวะผิดปกติทั้งหลาย อย่างพวก เอสน่า รวมถึงการสนับสนุนการต่อสู้ต่างๆอย่าง โพรเทส ที่เพิ่มพลังป้องกัน กับ เชล ที่เพิ่มพลังป้องกันเวทย์และอื่นๆ ผู้ใช้เวทย์สายนี้จะเรียกว่านักเวทย์ขาว (white mage , ชิโรมาโดวชิ) ซึ่งชิโรมาโดวชิ หรือ นักเวทย์ขาวนี้ ถูกตัดเสียงอ่านเหลือแค่ Shiroma (ชิโรม่า) ใช้แทนเป็นตัวละครในเวทย์ขาว ใน chocobo series อีกด้วย ซึ่งเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนักเวทย์ขาวใน FF series คือต้องชุดขาว มี hood คลุม และ มีลายสามเหลี่ยมติดๆกันสีแดงๆ ตามปลายผ้า และ อาวุธมักเป็นพวกไม้เท้า หรือ พวก morning star , mace อะไร โดยปกติเวทย์ขาวไม่มีเวทย์ที่ใช้ในการต่อสู้ ถ้าไม่นับ เดีย ในภาค 1 ที่ไว้จัดการ undeath เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่โจมตีเพียง 1 ของเวทย์ขาวก็มีเพียงคาถา Holy ที่มักออกมาในรูปแบบแสงและลูกสีขาว อม ฟ้า เท่านั้น 2.เวทมนต์ดำ (Black Magic , คุโร่มาโฮว) : มีขาวย่อมมีดำเป็นของคู่กัน เวทย์ดำใน FF series ก็เน้นคาถาโจมตีทั้งหลายจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ พื้นฐานหลักๆ 3 สายคือ ตระกูล Fire , Blizzard และ Thunder เลื่อนขั้นเป็น ร่า ก้า และ จ้า บางภาค นอกจากนี้บางภาคอาจใส่ลม คือ aero หรือ น้ำคือ water มาในตระกูลนี้ด้วย เวทย์ดำหลัๆกก็ใช้โจมตีและทำลาย แต่ก็มีการรวมของพวกคำสาปและทำให้เกิดสภาวะผิดปกติต่างๆเช่นพวก Toad , Porky , Bio , Break , Death อะไรด้วย คาถาที่เด่นสุดมานักต่อนักในหลายภาคแล้วคือ Flare คาถาสุดยอดการทำลายที่มีเป้าหมายเพียง 1 แต่มีความรุนแรงสูงมากเป็นเหมือนคู่กัดของ Holy ในมนต์ขาว อนึ่ง FF series บางภาค คาถาสุดยอดไม่ใช่ Flare แต่อาจเป็น Ultima Melton หรือ Jihad ตามภาคนั้นๆ แต่หลักๆ Flare จะขาดไปจาก series ไม่ได้ ส่วนผู้ใช้เวทย์ดำเราจะเรียกว่า นักเวทย์ดำ (black mage , คุโร่มาโดวชิ) โดยมีเอกลักษณ์ที่ชุดสีน้ำเงิน หมวกฟางเหลืองๆ ปิดหน้า ซ่อนเร้น และ มีแต่ดวงตาสีเหลืองออกมา ที่เป็นเอกลักษณ์ของนักเวทย์ดำ จนมาเป็น Vivi ในภาค 9 3.มนต์เรียก (Summon Magic , โชวคัง) : ปรากฏครั้งแรกในภาค 3 เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่กับการเรียกสัตว์มายาออกมาช่วยในการต่อสู้ โดย concept ของสัตว์มายา (เก็นจูว) ค่อนข้างเด่นมากในภาค 4 ที่ถึงกับมีโลกมายา (เก็นจูวไค) ที่อาศัยของสัตว์มายาใต้ภิภพ เช่น เดียวกับภาค 6 ที่ concept อยู่กับสัตว์มายา ในขณะที่ภาค 9 สัตว์มายาจะถูกผนึกในรูปอัญมณีให้นักเรียกปลดผนึกออกมาใช้งาน สำหรับภาค 10 ก็ค่อนข้างเด่น กับแนวคิด สัตว์หมายเรียก (โชวคังจู) ที่มาจากการภาวนาของผู้ภาวนา (อิโนริโกะ) นั่นเอง แต่หลักๆแล้ว สัตว์มายาคือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแดนมายา และ จะทำสัญญากับผู้ที่พวกมันยอมรับ (คำอธิบายว่าทำไมเราต้องสู้กับสัตว์มายาก่อนได้มาในบางภาค) เพื่อที่จะให้ยืมพลังในการโค่นอริให้พินาศไป ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว สัตว์มายาจะไม่คำนึงถึงถูกผิด หากแต่เคารพต่อคำสั่งของผู้เรียกพวกมันเท่านั้น (ตัวอย่างกรณี Bahamut FF9) และ สัตว์มายาใน FF ล้วนมีที่มาจากตำนานชาติต่างๆโดยรวมด้วยกันทั้งสิ้น สัตว์มายาที่เราคุ้นเคยกันดีคงมี Shiva กับ Ifrit ที่มักอยู่ประจำ FF series และ ราชาแห่งมังกร เทพแห่งสัตว์มายาใน FF4 (เก็นจูวชิน) Bahamut อีกหนึ่งสัตว์มายาที่ขาดไม่ได้ใน FF series โดยมักอยู่ในฐานะตัวรองสุดยอด เพื่อให้สัตว์มายาสุดยอดได้สื่อ concept ของภาคนั้นๆ สำหรับผู้ที่เรียกหรืออัญเชิญเราจะเรียกว่า นักเรียก/นักอัญเชิญ (Summoner , โชวคัง) โดยปกติ สีพื้นฐานของนักเรียกมักเป็นสีเขียว ชุดจะออกสีเขียวๆ แล้วจะมีเขาแบบ Unicorn กลางหน้าผาก เหมือนดั่งสื่อเสาอากาศไว้ติดต่อกับโลกวิญญาณ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือเวลาเราอัญเชิญสัตว์มายามาในแต่ละภาค มักมีเอกลักษณ์ตรงลูกกลมๆแล้วมีไฟข้างในหมุนออกมา หรือ ปรากฏออกมา โดยที่ภาค 7 เป็นอักษร rune ขณะที่ภาค 10 เป็นแผนภูมิทางจักราตามลวดลายต่างๆเวลาอัญเชิญออกมา ซึ่งก็เป็นเหมือนสื่อทางพิธีกรรมเวลาติดต่อกับวิญญาณด้วย ซึ่งเช่นเดียวกับมนต์ตระกูลอื่นๆ ตั้งแต่ภาค 3 มา มนต์เรียกก็เป็นอีกตระกูลที่ขาดไม่ได้ใน FF series รวมถึง effect อันน่าตระกาลตาที่เราคาดหวังจากมนต์ตระกูลนี้ด้วย ทั่วไปอาวุธของพ่อมดคือ คฑา (rod) 4.มนต์เวลา และ อากาศ (Time Magic , โทคิมาโฮว) : มนต์ตระกูลนี้ไม่ค่อยเด่นมากนัก ส่วนมากจะแทรกในตระกูลขาวและดำมากกว่า จนมีบางภาคเช่น ภาค 5 และ ภาค FFT อะไรที่แยกตัวออกมาอย่างสมบูรณ์ มนต์เวลารู้จักในแง่มนต์ที่ support การต่อสู้มากกว่า แต่กระนั้นก็ดีทั้งหมดล้วนน่าหลงไหล อย่าง Haste ที่เพิ่มความเร็วเรา Slow ที่ลดความเร็วข้าศึก หรือ Stop ที่หยุดการเคลื่อนไหวคู่ต่อสู้เลย ตั้งแต่ภาค 4 ที่มีการนำระบบ ATB (Active Time Battle) มาใช้ เสน่ห์ของมนต์เวลาก็เด่นชัดมากขึ้น จากการเห็นผลได้ชัดของเวลาใน real time battle นั่นเอง แม้แต่ภาค 10 ที่ใช้ระบบ CTB (Count Turn Battle) หรือ FFT ที่ใช้ระบบ CT (Charge Time) มนต์เวลาก็สามารถให้ผลที่เด่นชัดและน่าหลงไหลอย่างไม่เสื่อมคลาย นอกจากนี้ มนต์เกี่ยวกับ สภาพมิติ (space) ก็ถูกรวมในสายนี้ด้วย อย่างที่เราเรียกว่า เวลา และ อากาศ (space and time) ดังนั้นมนต์ที่เกี่ยวกับการข้ามมิติ ส่งข้ามมิติอย่าง Telepo (Teleport) หรือ Detion (X-Zone ในภาษาอังกฤษ) หรือ มนต์เกี่ยวกับแรงดึงดูดอย่าง Levitate ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย แม้จะเด่นด้าน support แต่ก็มีมนต์ที่สร้างความเสียหายเช่นกัน อย่างตระกูลแรงดึงดูดอย่าง Gravide (Gravity บางภาคในภาษาอังกฤษเรียก Demi) ที่สร้างแรงดึงดูดลด HP เป้าหมายลงครึ่งหนึ่งหรือ Graviga กับ Gravija ขั้นสูงของตระกูลนี้ ก็สามารถช่วยให้เราพิชิตศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว ด้วยผลของการหารของค่าพลังสูงสุด (Diabolos หรือ Atmos ก็ใช้หลักเดียวกันในการโจมตี) หรือ คาถาโจมตีโดยตรงตระกูลดวงดาวอย่าง Comet , Cometeor หรือ สุดยอดคาถาอุกาบาตอย่าง Meteor ก็นับรวมอยู่ในสายนี้ด้วยในบางภาค ผู้ที่ใช้เวทย์สายนี้เราเรียกว่า นักเวทย์กาลเวลา (Time Mage , โทคิมาโดวชิ) โดยมักแต่งกายด้วยชุดสีม่วง แบบนักปราชญ์ มีหมวกสามเหลี่ยมสูง และ มักมีดาวประดับด้วย ตามหมวกและชุด 5.มนต์น้ำเงิน (Blue Magic , อาโอวมาโฮว) : พึ่งมีบทบาทครั้งแรกในภาค 5 กับสีเวทย์ใหม่ที่น่าหลงไหล จากการ learn ความสามารถของ monster ที่เราเรียกว่า Learning จุดเด่นของมนต์น้ำเงินนี้อยู่ที่ความหลากหลาย ที่มีทั้ง ฟื้นฟูอย่าง White Wind สนับสนุนอย่างพวก Mighty Guard หรือโจมตี ที่มีอยู่มากมาย แถมยังเด่นในแง่ประสิทธิภาพที่สูงกว่าของมนต์ขาวและดำ ความหลากหลาย และทั่วไป มนต์น้ำเงินจะใช้ reflect สะท้อนไม่ได้อีกด้วย รูปแบบของมนต์น้ำเงินนั้นค่อนข้างน่าสนใจ มนต์ที่อยู่กับตระกูลนี้แต่แรกคือสายลมอย่าง Aero ที่ย้ายไปเป็นมนต์ดำในบางภาค ที่เด่นอีกอย่างของมนต์น้ำเงินอยู่ที่ลูกเล่นต่างๆที่เราไม่สามารถหาได้จากมนต์สายอื่น เช่น มนต์ LV เช่น LV X Death , LV X Flare , LV X bla bla bla ที่ให้ผลให้เป้าหมายที่มี LV หารด้วยตัวเลขนั้นๆลงตัวโดนผลของคาถาอย่างไม่มีการผิดพลาด จัดเป็นแนวคิดที่ใหม่มากๆ และ ยังนำแนวคิดนี้ไปใช้กับนักคำนวนใน FFT อีกด้วย มนต์อื่นๆที่มีแนวคิดแปลกๆอีกคือพวกที่ให้ผลในการลบผลต่างของ HPMAX ลบกับ HP ที่เหลืออยู่ของเป้าหมาย โดยทั่วไปมนต์นี้จะใช้ชื่อว่า ???? ลูกเล่นอื่นที่น่าสนใจและค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของมนต์น้ำเงินคือ รูเล็ตแห่งความตาย (ชิโนะรูเล็ต) ที่หยุดหมุนที่ใครคนนั้นตาย กับ ประกาศแห่งความตาย (ชิโนะเซ็นโคคุ) ที่ให้เลขอยู่บนหัวเป้าหมายและนับถอยหลังเรียกหายมฑูตที่เราคุ้นเคยกันดี และ มีประโยชน์ในการใช้งานเวลาจัดการศัตรูอึดๆถ่วงเวลาไว้ก็พอ รูปแบบมนต์น้ำเงิน ทั่วไปจดจำจากการเห็นท่าหรือโดนโจมตีจังๆด้วยท่าพิเศษของศัตรูแล้วจึง learning จำมาใช้ได้ จนภาค 8 ที่เรียนรู้จาก item แทน ภาค 9 ที่เรียนรู้จากการกิน ภาค 10 ที่เรียนรู้จากการใช้ ดาบมังกร (ริวเค็น) ของ คิมาริ ดูดมา ภาค 7 จะเรียกมนต์น้ำเงินว่า ท่าอริ (เทคิโนะวาสะ) ขณะที่ภาค 8 รูปแบบมนต์น้ำเงินถูก powerup ขึ้นผ่าน Quistis ที่ทำให้ผลของมนต์น้ำเงินรุนแรงและเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะ Shock Wave Pulsar ที่แสนรุนแรง เช่นเดียวกับภาค 10 ที่ให้จุดเด่นของมนต์น้ำงเงินในแง่ท้าไม้ตายที่รุนแรง ส่วนมนต์น้ำเงินในภาค 9 จะใช้ได้ง่ายกว่า และ มีประโยชน์ในแง่การ support สนับสนุน แต่ก็มีมนต์โจมตีแรงๆอย่าง กบตก ที่ให้ความแรงตามจำนวนกบที่จับได้ด้วย อนึ่ง มนต์น้ำเงินไม่มีใน FFT ผู้ใช้มนต์ตระกูลนี้เราก็เรียกว่า นักเวทย์น้ำเงิน (Blue Mage , อาโอมาโดวชิ) โดยภาพลักษณ์แรกที่ปรากฏในภาค 5 คือ พ่อมดผู้แต่งกายสีน้ำเงิน เกราะแบบนักรบ ใส่ผ้าคลุม และคาดแว่นสีน้ำเงิน แต่รูปแบบนั้นก็ไม่ตายตัว เช่นภาค 6 ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง หรือ Quistis กับ Quina ที่ชุดออกสีส้ม จึงไม่ค่อยมีรูปแบบตายตัวของนักเวทย์น้ำเงินนัก และ มักเป็นที่เข้าใจว่า นักเวทย์น้ำเงินมักมีพลังกายพอใช้ได้ คือ พอใช้ต่อสู้ด้วยกำลังกายไดด้วย ที่ต่างจากนักเวทยือื่นๆที่มักจะมีพลังกายต่ำ 6.ดาบเวทมนต์ (Magic Sword , มาโฮวเคน) : เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของคาถา ทีผสานกับการโจมตีด้วยอาวุธดาบ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่ รูปแบบของดาบเวทมนต์นี้มีในภาค 5 โดยหลักๆคือใช้การผสานระหว่างมนต์ดำ กับ มนต์ขาวลงบนดาบ แต่เน้นหนักคือมนต์ดำ คือ พวกดาบเวทมนต์ที่ให้ผลในพลังของธาตุต่างๆลงไปในดาบนั้นด้วย ซึ่งยิ่งใช้กับ monster ที่แพ้ต่อธาตุนั้นๆแล้วยิ่งสร้างความเสียหายเป็นทวีคูณ โดยสำหรับขั้นสุดท้ายคือขั้น ก้า นั้น หากเป็น monster ที่แพ้ต่อธาตุนั้นๆสามารถะชิตได้ในครั้งเดียวทีเดียว ส่วนดาบเวทย์ Flare จะให้ผลในการเพิ่มพลังโจมตีของดาบขึ้นอีก 1.5 เท่า ซึ่งนับว่ามีประโยชน์และใช้ได้ดีทีเดียว นอกจากนี้รูปแบบอื่นๆของดาบมนต์ดำนอกจากเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีแล้ว ยังมีให้ผลในการเสริมสภาวะผิดปกติลงไปในดาบด้วย เช่น ดาบไซเลส ดาบเบรค และ อื่นๆ ที่ให้ผลสภาวะผิดปกติแบบคาถานั้นๆ แต่มีจุดเด่นที่ยังให้ความเสียหาย และ ยังไม่พลาดด้วยถ้าเกิดฟันโดน คือ เท่ากับโดนผลของคาถาแน่นอน รูปแบบของดาบเวทย์นี้นอกจากจะใช้กับดาบได้แล้ว ยังใช้กับมีดบางชนิดได้ด้วย หลักๆคือใส่เวทย์ลงไปในดาบ เสีย MP ครั้งเดียวแล้วผลนั้นอยู่ตลอดจนจบการต่อสู้ ผู้ที่ใช้ดาบเวทมนต์เรียกว่า นักดาบเวทมนต์ (Magic Swordman / Fencer / Knight หรือ Warlock และยังมีชื่ออื่นๆที่ให้ความหมายถึงนักรบที่ใช้ทั้งดาบทั้งเวทย์ด้วย ส่วนของภาษา Jap เรียก มาโฮวเค็นชิ) รูปแบบของการผสานเวทมนต์ลงในดาบยังมีสืบทอดมาต่อในภาคต่างๆในรูปแบบต่างๆเช่น materia โซคุเซ ใน FF 7 ที่ให้ผลผสาน ธาตุ ลงในอาวุธ ภาค 8 ที่สามารถ Junction เวทย์ธาตุนั้นๆในการโจมตี ภาค 9 ที่อาวุธบางชนิดมีผลของเวทย์และธาตุในการโจมตี เช่นเดียวกับภาค FFT และ ภาค 10 จากการปรับแต่งอาวุธ นั่นเองครับ 7.มนต์แดง? ผลรวมของมนต์ขาวและดำ (White&Black Magic , ชิโรคุโรมา ) : มนต์แดงไม่เชิงเป็นมนต์ใหม่แต่อย่างไร แต่เป็นผลรวมของการผสมระหว่างมนต์ขาวและดำ คือทั้งโจมตีและป้องกัน มารวมไว้ในตัวละครเดียว โดยคำสั่งของมนต์ขาวและดำนี้มารวมในคำสั่งเดียว คือมนต์ขาวดำ สามารถใช้ได้ทั้ง 2 สายแต่กระนั้นก็ดีก็ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดหรือใช้ได้หมดทุกสาย ผู้ที่ใช้คาถามนต์แดงนี้จะถูกเรียกว่านักเวทย์แดง (Red Mage , อาคามาโดวชิ) ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เป็นการรวม concept ของ 3 อาชีพ คือ นักรบ นักเวทย์ขาว และ นักเวทย์ดำ ซึ่งคำที่ใช้เรียกอาชีพนี้มักจะเรียกว่า All Mighty คือ ใช้ได้ดีทุกสถานการณ์ สามารถใช้อาวุธพวกดาบ โจมตีได้แรงใช้ได้ในการต่อสู้แบบนักรบ สามารถโจมตีด้วยคาถาแบบนักเวทย์ดำ และ ยังสามารถใช้คาถาฟื้นพลังได้อีกด้วย ability ที่เด่นมากๆของอาชีพนี้คือ เร็นโซคุมาโฮว หรือ เวทมนต์ต่อเนื่อง 2 ครั้งซ้อนนั่นเอง แม้นักเวทยืแดงจะเป็นอาชีพที่น่าหลงไหล แต่ก็มีข้อเสียที่เด่นมากเช่นกัน คือ อันดับแรก ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ซะอย่าง คือ แม้โจมตีแรงกว่านักเวทย์ทั่วไป แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับพวกนักรบได้ และ เวทย์ขาวและดำ ก็ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด อย่างในภาค 5 สามารถใช้ได้ถึงแค่ LV.3 ของทั้ง 2 สายเท่านั้นเอง จุดอ่อนอีกอย่างคือพัฒนาได้ช้า ต้องใช้เวลาในการเอาใจใส่มากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับนักเวทย์อื่นๆ เช่น ภาค 5 ที่ต้องใช้ ability ถึง 999 ในการ master หรือ ภาค 11 ที่ LV up ได้ช้ากว่าอาชีพอื่น รูปแบบเด่นๆของนักเวทย์ดำที่มีมาตั้งแต่ ภาค 1 คือแต่งด้วยชุดสีแดงตามชื่อ มีผ้าคลุม และ ใส่หมวกติดขนนกที่หมวก ซึ่งดูไปแล้ว เหมือนกับพวกนักวีเร่ร่อนเสียมากกว่า
-สรุปแนวคิดของคาถาใน FF series : คาถาใน FF series พื้นฐานชื่อคาถามาจากการดัดแปลงภาษาอังกฤษ โดยรูปแบบพยายามนำความหมายของศัพท์ภาษาอังกฤษมาเขียนเป็นตัวอักษรและกร่อนรูปให้เหลือ 4 ตัวอักษรในญี่ปุ่น เช่น Fire ก็มาจากคำว่า Fire ภาษาอังกฤษ ส่วนขั้น 2 จะใส่ ร่า เข้าไป แล้วตัดเสียง เอ้อ จากขีดออกเป็น Fira ส่วนขั้นสุดท้ายเปลี่ยนเสียง ร่า เป็น ก้า คือ Figa โดยพยายามคงรูป 4 อักษรของญี่ปุ่นไว้ สำหรับคำที่ชื่อยาวมากกว่าการจะลงใน 4 ตัวอักษรมักถูกกร่อนเสียง ไม่ก็ตัดตัวที่เกินออกเช่นคาถา กราวิเด ของมนต์เวลา มาจากคำว่า Gravity แรงดึงดูดเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ กุ ระ วิ เทะ อิ 5ตัว ซึ่งเกินมาเลยตัดเหลือแค่ กุ ระ วิ เทะ แล้วเปลี่ยนเสียง เทะ เป็น เดะ หรือ เด จนออกมาเป็น กราวิเด Gravide 4 ตัวนั่นเอง ซึ่งเป็นรูปแบบ 4 อักษรของมนต์ขาว ดำ เวลา ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของ FF Series แต่อดีตถึงปัจจุบัน (มนต์อย่างมนต์เรียก หรือ มนต์น้ำเงิน อยู่นอกกรณีนั้นด้วยว่ากฎ 4 ตัวอักษรสื่อความหมายชื่อได้ไม่พอ)